
เมืองไทยเข้าสู่หน้าฝน หน้ามรสุมอีกครั้งพร้อมอุทกภัยที่ไม่อาจคาดคิด ถามว่า รถยนต์ของเราจะได้รับ จะได้รับผลกระทบมากน้อยแค่ไหน
ฝนตกน้ำท่วมขัง ขณะที่เราขับรถยนต์อยู่บนถนน เมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ และจำเป็นต้องขับรถลุยน้ำ จะต้องเพิ่มความระมัดระวัง ลดความเร็วลง ขับช้าๆ ปิดแอร์ เว้นระยะจากคันหน้า เมื่อพ้นน้ำให้เหยียบเบรกซ้ำๆ เพื่อไล่น้ำจากระบบเบรก

อันตรายระดับน้ำสูงเท่าไร ส่งผลต่อตัวรถ
ในที่นี้ จะไล่ระดับน้ำจากน้อยไปหาระดับที่สูงมาก จนส่งผลต่อตัวรถยนต์
- ระดับน้ำสูง 20 เซนติเมตร
ระดับน้ำสูง 20 เซนติเมตร ถือว่าปกติระดับทางเท้าไม่ถึงครึ่งล้อ รถยนต์แทบทุกรุ่นสามารถผ่านได้ แต่ต้องระวังหลุมที่มองไม่เห็น
- ระดับน้ำสูง 40 เซนติเมตร
ระดับน้ำสูง 40 เซนติเมตร ต้องระมัดระวังสูง ระดับเกินครึ่งล้อ ท่อไอเสียจมน้ำ ควรผ่านแค่สั้นๆ หากขับรถเล็กให้หลีกเลี่ยง รถสูงยังพอผ่านได้ หากน้ำระดับนี้ อาจมีน้ำซึมที่พื้นรถใต้พรม ควรนำพรมออกมาซัก และตากให้แห้ง รวมทั้งไล่ความชื้นออกจากตัวรถ
- ระดับน้ำสูง 60 เซนติเมตร
ระดับน้ำสูง 60 เซนติเมตร หลีกเลี่ยง น้ำสูงระดับไฟหน้า น้ำอาจเข้าห้องโดยสารทางช่องประตู ไม่ควรผ่านทั้งรถเล็ก และรถสูง เพราะหากน้ำเข้ารถสูงถึงเบาะ ควรไล่ความชื้นและนำรถยนต์เข้าเช็คระบบอีกครั้ง
- ระดับน้ำสูง 80 เซนติเมตร
ระดับน้ำสูง 80 เซนติเมตร อันตราย!! ระดับฝากระโปรง น้ำอาจเข้าทั้งเครื่องยนต์ ก่อให้เกิดความเสียหายหนัก รถทุกชนิดควรหลีกเลี่ยง

ระดับน้ำท่วมที่รถยนต์แต่ละชนิดลุยได้
- รถอีโคคาร์
ระดับน้ำ 20-40 เซนติเมตร รถเล็กพวกรถอีโคคาร์ต้องระวัง เนื่องจากถูกออกแบบให้มีความสูงจากระดับพื้น 15-17 เซนติเมตร อาจส่งผลต่อท่อไอเสีย แต่สามารถขับลุยน้ำผ่านได้
- รถเก๋ง
ระดับน้ำ 40-60 เซนติเมตร รถเก๋ง รถเล็กจะต้องหลีกเลี่ยง
- รถกระบะ
ระดับน้ำ 60-80 เซนติเมตร ส่งผลเป็นอันตรายต่อรถกระบะและรถทุกคัน
ในการขับรถลุยน้ำต้องดูระดับน้ำ หากไม่ใช่เส้นทางที่คุ้นเคย ก็อย่าลงไปลุยเด็ดขาด เพราะเราไม่รู้ว่าผิวทางเป็นอย่างไร ดังนั้นควรขับรถอย่างระมัดระวังที่สุด เพราะหากน้ำท่วม หรือน้ำเข้ารถ จะต้องเสียเงินค่าบำรุงรักษาหนักแน่นอน
ขอบคุณรูปภาพและแหล่งที่มา : สถาบันยานยนต์
อ่านข่าวต่อ : หน้าแรก